เสือโคร่งเป็นสัตว์ผู้ล่าในตระกูลแมวซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปเอเซีย
ในอดีตที่ผ่านมาเคยพบว่ามีเสือโคร่งกระจายอยู่ทั่วไปในแผ่นดินเอเซีย
ตั้งแต่ทางภาคใต้ในดินแดนไซบีเรียของประเทศสหพันธรัฐเอกราชรัสเซีย
คาบสมุทรเกาหลี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนเรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกของตุรกีและภาคเหนือของอิหร่านบริเวณรอบ
ๆ ทะเลสาบแคสเปียน
ส่วนทางตอนใต้นั้นพบว่าเสือโคร่งมีการกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศอินเดีย
เนปาลภาคใต้ เมียนมาร์ ไทย
ลาว กัมพูชา เวียดนาม
แหลมมาลายูของมาเลเซีย
เกาะสุมาตรา เกาะชวา
และเกาะบาหลี ของอินโดนีเซีย
นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งเสือโคร่งออกเป็น
8 สายพันธุ์
โดยเสือโคร่งไซบีเรีย (Panthera
tigris altaica) เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุด
ส่วนเสือโคร่งบาหลี (Panthera
tigris balica) เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักน้อยที่สุด
เสือโคร่งที่พบในประเทศไทยเป็นเสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนหรือเสือโคร่งอินโดจีน
(Panthera tigris corbetti) ซึ่งเสือโคร่งสายพันธุ์นี้เพิ่งแยกออกมาจากสายพันธุ์เบงกอลเมื่อปีพ.ศ.2511 เสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนมีการกระจายอยู่ตั้งแต่ภาคตะวันออกของเมียนมาร์
ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม
และคาบสมุทรมาลายูของมาเลเซีย
ทางสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า
หรือ IUCN ได้เคยประเมินไว้ว่าในตอนปลายศตวรรษที่
19 มีประชากรเสือโคร่งทุกสายพันธุ์ประมาณ
100,000 ตัวกระจายอยู่ทั่วไปบนผืนแผ่นดินของทวีปเอเซียแต่จากการประเมินประชากรของเสือโคร่งครั้งล่าสุดโดยปีเตอร์
แจ็คสันในปี พ.ศ.2537 ทำให้ทราบว่าเสือโคร่งในธรรมชาติได้ลดจำนวนลงจนเหลือเพียงประมาณ
5,080-7,380 ตัวเท่านั้น
และมีแนวโน้มว่ากำลังลดจำนวนลงเรื่อย
ๆ
สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้เสือโคร่งลดจำนวนลงอาจสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาตินั้นก็คือการถูกล่าโดยตรงเพื่อนำกระดูก
เลือด
อวัยวะเพศไปเป็นส่วนผสมของยาจีนแผนโบราณ
การนำหนังไปเป็นเครื่องประดับ
และการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่ง
จากสถานการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นบอกให้ทราบว่าสถานภาพของเสือโคร่งในทุกถิ่นที่อยู่อาศัยกำลังแย่ลง
ทุก ๆ
ประเทศซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งจึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่จะช่วยกันอนุรักษ์เสือโคร่ง
ดังนั้น WWF-Thailand จึงได้เสนอแนวทางการปฏิบัติเพื่ออนุรักษ์เสือโคร่งขึ้นมาโดยมุ่งเน้นลงไปที่สายพันธุ์อินโดจีนซึ่งมีการกระจายอยู่ในประเทศไทยโดยแนวทางปฏิบัติดังกล่าวจะอยู่ในส่วนท้ายของหนังสือเล่มนี้ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้จะมุ่งเน้นให้หน่วยงานและองค์กรต่าง
ๆ ของประเทศไทยนำไปปฏิบัติ
โดยแนวทางการปฏิบัติที่จัดพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้จะให้ความสำคัญแก่หน่วยงานและองค์กรที่มีบทบาทต่อการอนุรักษ์เสือโคร่งอินโดจีนเข้ามามีส่วนร่วมและประสานงานกันโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นหน่วยงานในภาครัฐบาลหรือภาคเอกชน
เนื่องจากการอนุรักษ์เสือโคร่งอินโดจีนจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานหลายประการที่จะช่วยให้เสือโคร่งสามารถอยู่รอดได้ในสภาพธรรมชาติ
ดังนั้นหน่วยงานเพียงหน่วยงานเดียวหรือองค์กรเดียวคงไม่สามารถช่วยอนุรักษ์เสือโคร่งสายพันธุ์นี้เอาไว้ได้
โดยแนวความคิดนี้นั้นเกิดขึ้นจากการรวบรวมประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่
WAF-Thailand และผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับเสือโคร่งของบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้เคยปฏิบัติงานร่วมกันมากับ
WAF-Thailand เท่านั้น
ดังนั้นข้อเสนอแนะที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้
จึงเป็นเพียงแนงทางการปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่ควรดำเนินการในเบื้องต้นซึ่งถ้าหากว่ามีหน่วยงานหรือองค์กรใดเล็งเห็นความสำคัญและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการอนุรักษ์เสือโคร่งอินโดจีนในประเทศไทยก็สามารถนำแนวทางการปฏิบัติที่เสนอขึ้นมาในหนังสือเล่มนี้มาใช้
เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ตารางเปรียบเทียบแสดงถึงความแตกต่างของเสือโคร่งในแต่ละสายพันธุ์
แหล่งที่มา MAZAK พ.ศ.2525
สายพันธุ์ |
น้ำหนักของตัวเต็มวัย |
ความยาวจากจมูกถึงปลายทาง |
||
เพศผู้ |
เพศเมีย |
เพศผู้ |
เพศเมีย |
|
อินโดจีน |
150-195 |
100-130 |
2.55-2.85 |
2.3-2.55 |
จีนใต้ |
130-175 |
100-115 |
2.3-2.65 |
2.2-2.4 |
เบงกอล |
130-258 |
100-160 |
2.7-3.1 |
2.4-2.65 |
ไซบีเรีย |
180-306 |
100-167 |
2.7-3.3 |
2.4-2.75 |
แคสเปียน |
170-240 |
85-135 |
2.7-2.95 |
2.4-2.6 |
สุมาตรา |
100-140 |
75-110 |
2.2-2.55 |
2.15-2.3 |
ชวา |
100-141 |
75-115 |
2.48 |
ไม่มีข้อมูล |
บาหลี |
90-100 |
65-80 |
2.2-2.3 |
1.9-2.1 |