ความจริงที่ต้องยอมรับในการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยในปัจจุบัน กระแสการอนุรักษ์สัตว์ป่าของประเทศไทยในปัจจุบันนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รุนแรงมาก ซึ่งหากจะพิจารณาแต่เพียงผิวเผินก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วถ้าพิจารณาลงไปในรายละเอียด กระแสอนุรักษ์ดังกล่าว
กลับเป็นความน่าสะพรึงกลัวต่อการที่จะต้องสูญเสียสายพันธ์สัตว์ป่าเหล่านั้นอย่างถาวรตลอดไป ทั้งนี้เพราะกระแสอนุรักษ์ดังกล่าวเป็นกระแสอนุรักษ์ที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากโดยส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการกระตุ้นความรู้สึกของปวงชนในสังคมให้รักและหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติสัตว์ป่าเท่านั้น โดยไม่ได้ให้ความสนใจลึกลงไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาซึ่งผลของการอนุรักษ์ในลักษณะเช่นนี้ในระยะยาวกลับจะเป็นผลเสียอันใหญ่หลวง
ดังพิจารณาได้จากประเด็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องตามลำดับดังนี้ 1.
มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนต่างต้องใช้หรือบริโภคทรัพยากรธรรมชาติตั้งแต่เกิดจนตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อสนองปัจจัย
4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
ยิ่งในสภาพสังคมปัจจุบันยังต้องการปัจจัยที่ 5,
6, 7
..ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยส่วนเกินอีกมากมายไม่รู้จบ ปัจจัยต่าง ๆ
เหล่านี้ล้วนได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น ความเป็นจริงข้อนี้
บางท่านที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเมืองที่ไม่เคยเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยตรงจากธรรมชาติอาจจะยังไม่ยอมรับ โดยอาจจะแย้งว่า
ในปัจจุบันทั้งปัจจัย 4
และปัจจัยส่วนเกินทั้งหมดที่ท่านใช้ ที่ท่านบริโภค
ล้วนมาจากกระบวนการผลิตของมนุษย์ทั้งสิ้น
ไม่มีการนำทรัพยากรธรรมชาติใด
ๆ
ออกมาจากป่าโดยตรงแต่อย่างใด
หากผู้ใดโดยเฉพาะผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติเข้าใจเพียงแค่นี้ก็นับว่าเป็นการเห็นแก่ตัว
และเป็นสิ่งน่าเศร้ามากสำหรับประเทศไทย ในอันที่จะต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติต่าง
ๆ รวมทั้งพืชป่าและสัตว์ป่าไปทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัวและจะค่อย
ๆ สูญพันธุ์หมดไปในที่สุด
หากทุกคนไม่โกหกตนเอง
แล้วลองมองพิจารณาสิ่งที่ของเครื่องใช้ต่าง
ๆ รอบ ๆ ตัวของท่าน
จะพบว่าทุกสิ่งมีที่มาจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น
เช่น อุปกรณ์ที่ทำด้วยไม้
ก็ต้องอาศัยการโค่นต้นไม้ใหญ่จากป่ามาแปรรูป
ส่วนพวกอิฐ หิน ปูน ทราย
แร่ธาตุต่าง ๆ ก็มาจากการขุด
การระเบิด
หรือการทำเหมืองเอาจากพื้นผิวของโลก
พืช ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ ก็ต้องใช้พื้นที่ดินมาทำการเพาะปลูก
นอกจากนี้ถนนหนทางในการเดินทาง
ขนส่ง ตลอดจนที่อยู่อาศัย
ก็ต้องใช้พื้นที่บนผิวโลกด้วย
ซึ่งหากพิจารณาให้ลึกซึ้ง
ทุก ๆ อย่างที่มนุษย์บริโภค
หรือใช้ประโยชน์
ล้วนแล้วแต่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทั้งสิ้น
โดยเฉพาะที่ดิน
หรือพื้นที่บนผิวโลก
ยิ่งมีความจำเป็นต้องใช้ในทุก
ๆ กิจกรรมของมนุษย์ ฉะนั้น
เราทุกคนไม่เว้น
แม้แต่ผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติทุกรูปแบบ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าต่างก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งในกระบวนการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างต่อเนื่องซึ่งกัน 2.
ประชากรโลกเพิ่มขึ้น
การใช้พื้นที่โลกเพื่อการผลิตย่อมมากขึ้น
พื้นที่ป่าย่อมลดลง
ปัจจุบันอัตราการขยายตัวของประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่ากล่าวว่า จะไม่สามารถผลิตอาหาร และปัจจัยบริโภคต่าง
ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการได้ในอนาคตประเทศไทยก็อยู่ในกระแสความเจริญของโลกที่จะต้องเร่งการผลิตในทุก
ๆ ด้าน
เพื่อป้องกันการขาดแคลนปัจจัยบริโภคต่าง
ๆ เช่นกัน
และสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ในการผลิตก็คือที่ดิน
( ดังได้กล่าวไว้แล้วในข้อ
1 ) ดังนี้แล้วจึงจำเป็นที่จะต้องมีการใช้พื้นที่ดินเพื่อการผลิตต่าง
ๆ มากขึ้นตลอดเวลา
ตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งทุกคนในสังคมต่างก็บริโภคผลผลิตที่เกิดจากการใช้ที่ดินนั้น
ๆ
เนื่องจากพื้นที่โลกมีเท่าเดิม
และพื้นที่ประเทศไทยก็มีเท่าเดิมเช่นกัน ดังนั้นการขยายพื้นที่ดินเพื่อการผลิตของมนุษย์แท้จริงแล้วก็คือ
การบุกรุกพื้นที่ถิ่นอาศัยหรือถิ่นกำเนิดเดิมของพืชและสัตว์ป่านั่นเอง
การบุกรุกดังกล่าวมีทั้งที่ทำการอย่างถูกต้องโดยภาครัฐ
และการลักลอมบุกรุกทำลายโดยชาวบ้านหรือนายทุนเอกชน
แต่ไม่ว่าจะถูกกระทำโดยภาครัฐหรือภาคราษฎร์ก็ตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อพืชและสัตว์ป่าก็คงเป็นไปอย่างเดียวกัน คือ
ถิ่นกำเนิด
หรือถิ่นอาศัยจะค่อย ๆ
ลดลงหรือหมดไป
พืชและสัตว์ป่าแต่ละชนิดจะมีความต้องการสภาพแวดล้อมหรือถิ่นอาศัยที่แตกต่างกัน
ที่สำคัญได้แก่
ความแตกต่างของระดับน้ำทะเล
นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างของสภาพพื้นที่ราบหรือความลาดเอียงของพื้นที่ความแตกต่างของแร่ธาตุในพื้นที่
ความแตกต่างของกระแสลม
และอื่น ๆ อันก่อให้เกิดพื้นที่ป่าประเภทต่าง
ๆ เช่น ป่าดิบ ป่าดินเขา ป่าสน
ป่าเต็งรัง ป่าไผ่ ป่าชายแลน
ทุ่งหญ้า เป็นต้น
พืชและสัตว์ป่าบางชนิดจะมีความสามารถในการปรับตัวและกระจายพันธุ์ได้ในหลายพื้นที่ แต่บางชนิดก็อยู่ได้เฉพาะในพื้นที่ป่าบางสภาพท่านั้น สำหรับมนุษย์
โดยเฉพาะในสังคมไทย พื้นที่ที่ต้องการมากที่สุดก็คือพื้นที่ราบที่ใกล้แหล่งน้ำ
เพราะสะดวกต่อการใช้ประโยชน์ทั้งในด้านที่อยู่อาศัยการคมนาคม
และใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมต่าง
ๆ ดังนั้นเขตพื้นที่ราบต่ำส่วนใหญ่ของประเทศไทย
จึงถูกมนุษย์ครอบครองใช้ประโยชน์เกือบทั้งหมด
ซึ่งในทางกลับกันก็หมายความว่าพื้นที่ป่าที่ราบต่ำก็คงจะต้องหมดไป
ก่อนพื้นที่ประเภทอื่น
และนั่นก็คือสัตว์ป่าที่อยู่ได้เฉพาะในป่าที่ราบต่ำก็คงจะสูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น
ๆ ด้วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีข้างต้นนี้เป็นเพียงอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด แต่โดยข้อเท็จจริง
ป่าทุกประเภทต่างก็ถูกมนุษย์บุกรุกเพื่อใช้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อย
ๆ
ตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น เพียงแต่จะถูกบุกรุกช้าหรือเร็วกว่ากัน ตามแต่ทิศทางการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น 3. พื้นที่ป่าลดลง สัตว์ป่าไปไหน
จากข้อ 2
เมื่อพื้นที่ป่าลดลงบางคนก็คิดเพียงง่าย
ๆ ว่าสัตว์ป่าก็เข้าป่าลึกไป
ไม่เห็นจะน่าห่วงตรงไหน
แต่ข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
เพราะการที่พื้นที่ป่าลดลงนี้มีผลในทางเลวร้ายต่อสัตว์ป่าหลากหลายประเด็นเหลือเกินซึ่งพอจะสรุปเหตุการณ์ต่อเนื่องให้เห็นได้ง่าย
ๆ ดังนี้ -
ขณะที่มนุษย์บุกรุกพื้นที่ป่าเข้าไป
พืชป่าย่อมถูกทำลายโดยตรง
โดยการถูกแผ้วถาง ตัดฟัน
ส่วนสัตว์ป่านั้นส่วนหนึ่งก็ถูกล่าไปพร้อม
ๆ
กันอีกส่วนหนึ่งก็ต้องหนีไปยังป่าลึกเข้าไป -
เมื่อขนาดของพื้นที่ป่าลดลง
สัตว์ที่หนีจากพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายก็จะเข้าไปแออัดกันอยู่ในพื้นที่
ส่วนที่เหลือทำให้ต้องมีการแย่งชิงอาหารและพื้นที่กันเอง
และแล้วในที่สุดก็จะมีสัตว์ป่าเหลืออยู่ในจำนวนเท่าที่พื้นที่ป่าและแหล่งอาหารในป่าส่วนที่เหลือจะรองรับได้ตามสมดุลเท่านั้น
ส่วนสัตว์ป่าส่วนเกินก็จะต้องตาย
หรือ
ถูกกำจัดออกไปด้วยเงื่อนไขธรรมชาติ -
สัตว์ป่าหลาย ๆ
ชนิดมีอุปนิสัยในการยึดครองพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่หากิน
เมื่อถิ่น -
สัตว์ป่าแต่ละชนิดมีความต้องการอาหารและถิ่นอาศัยที่แตกต่างกัน
เมื่อป่าเดิมที่มัน
จากข้อมูลความจริงบางประการที่ยกมาข้างต้นคงจะสรุปได้ว่า
เมื่อป่าถูกบุกรุกทำลายทั้งพืชและสัตว์ป่าจะต้องตาย เพียงจะตายเร็วในทันทีหรือจะตายช้าเมื่อสิ้นอายุขัย โดยไม่สามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อีก
สุดท้ายก็คือสูญพันธุ์ไปจากเขตพื้นที่นั้น
ๆ หรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์ไปจากโลกนั่นเอง 4.
กระแสสังคมการอนุรักษ์สัตว์ป่าในปัจจุบัน กระแสการอนุรักษ์สัตว์ป่าในปัจจุบันพอจะประมวลได้ 2 ประเด็น คือประเด็นที่ 1 : สัตว์ป่าต้องอยู่ในป่า ประเด็นนี้มีความหมายรวมทั้งพืช และทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดในป่าด้วย ประเด็นที่ 2 : ใครทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากป่าไม้
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
จะถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายหรือเบียดเบียนธรรมชาติไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า
จึงถูกจัดอยู่ในกิจกรรมประเภทเดียวกันกับการทำลายสัตว์ป่า
จากกระแสอนุรักษ์ 2
ประเด็นข้างต้นได้มีผลทำให้พรบ.
สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าที่แก้ไขใหม่ในปี
2535
มีสาระที่ปิดกั้นกระบวนการปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าชนิดพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเกือบทุกทาง
ทั้งที่เหตุผลในการแก้ไขก็ได้ระบุไว้ว่า
เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า
จนทำให้ในขณะนี้การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่เป็นชนิดพันธุ์ที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยก็แทบจะหมดไปแล้ว
จากสถานเพาะเลี้ยงของเอกชนเกือบทุกแห่ง
เพราะเป็นการยากลำบากต่อผู้เพาะเลี้ยงในการที่จะต้องปฏิบัติตามข้อปลีกย่อยของกฎหมายดังกล่าว
ต่อไปในอนาคต
สัตว์ป่าในสถานเพาะเลี้ยงของเอกชนก็คงจะมีแต่เฉพาะชนิดพันธุ์ต่างประเทศเท่านั้น
ซึ่งบางท่านอาจจะพอใจกับแนวทางดังกล่าว
และมีความเห็นว่า
งานเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าควรให้ภาครัฐเท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการแนวคิดดังกล่าวนี้แม้จะมีส่วนถูก
แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด
เพราะสัตว์ป่าบางชนิดที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้โดยง่าย
(เช่น กวางป่า
เนื้อทราย ไก่ฟ้าชนิดต่าง ๆ
งู บางชนิด เสือบางชนิด
เป็นต้น) หากเป็นที่ต้องการของตลาด
(มีอุปสงค์ หรือ demand) ภาครัฐก็ควรจะผลักดันให้สัตว์ป่านั้น
ๆ เข้าสู่ระบบตลาด
โดยสนับสนุนให้เอกชนเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เพื่อป้อนตลาดต่อไป
(สร้างอุปทาน หรือ supply)
ซึ่งการผลักดันเข้าสู่ระบบตลาดนี้
จะส่งผลให้เกิดการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการปล่อยให้ภาครัฐดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวสำหรับภาครัฐนั้น
ควรให้ความสำคัญการปกป้องคุ้มครองและเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่เพาะพันธุ์ได้ยาก
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีตลาดรองรับ
(เช่น หมี
ช้าง นกเงือกต่าง
ๆ นกร้องบางชนิด เป็นต้น) หรือไม่มีตลาดรองรับ (เช่น กบป่า คางคกป่า
หนูป่า แมลง
บางชนิดที่ถิ่นอาศัยถูกรุกรานใกล้จะสูญพันธุ์ไปแล้ว
เป็นต้น) ก็ตาม
มากกว่าการที่จะเอางบประมาณมาเสียไปกับการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์สัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่สามารถทำได้ง่าย
ๆ
ที่ประชาชนทั่วไปก็สามารถทำได้ บทสรุปที่ต้องยอมรับ
ไม่ว่าปัจจุบันแม้จะมีการเรียกร้องต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าด้วยแนวความคิดต่าง ๆ มากมายก็ตามแต่ในเมื่อมนุษย์ยังต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะที่ดิน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสิ่งอุปโภค บริโภคต่าง ๆ และจำนวนประชากรมนุษย์ก็เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลาเช่นนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผืนป่าจะต้องน้อยลงและสัตว์ป่าหลาย ๆ ชนิดจะต้องลดจำนวนลงตามไปด้วย ยิ่งสัตว์ป่าบางชนิดที่อยู่ได้เฉพาะกับพื้นที่ป่าบางสภาพ ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปเลยจากพื้นที่ที่ถูกบุกรุกนั้น เมื่อสถานการณ์วิกฤตมาถึงจุดนี้แล้ว ยังปล่อยให้กระแสอนุรักษ์เป็นไปในลักษณะแนวคิดที่บริสุทธิ์แต่ไร้ซึ่งความเข้าใจในต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา โดยไม่ยอมรับว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการจัดการเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าในปัจจุบันแล้ว ก็ย่อมแน่ใจได้เลยว่า สัตว์ป่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยจะต้องค่อย ๆ หมดไปในแต่ละแหล่งที่มนุษย์บุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน และจะเป็นการหมดไปอย่างถาวรด้วย เพราะหมดทั้งในป่าที่เป็นถิ่นกำเนิด และไม่มีเหลือทั้งในสถานเพาะเลี้ยง ซึ่งก็คือการสูญพันธุ์นั่นเอง บทความ
โดย ฉัตรชัย วิบูลย์รณรงค์
|
Copyright © 1999 by Navaphol.
All rights reserved.
|